พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ครั้งหนึ่งเคยก้าวสู่ตำแหน่งสูงส่งในกองทัพ
เป็น "ผู้บัญชาการทหารบก" อันเป็นวาสนาที่มีนายทหารน้อยนักกล้าจะฝันถึง
ทว่าตำแหน่งอันยิ่งใหญ่นั้นกลับนำมาซึ่งแรงกดดันให้เขาต้องทะยานต่อไปในเส้นทางอำนาจ
อาจจะเป็นเพราะแรงทะเยอทะยานในใจของเขาเอง
หรืออาจจะเป็นเพราะบางคำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้ หรือรวมๆ กันไปทั้งสองอย่าง
เมื่อประชาชนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลภายใต้การนำของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พล.อ.สนธิ ผู้บัญชาการทหารบก
นำกองทัพทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากรัฐบาล
ตั้งตัวเองเป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ตั้งรัฐบาลขึ้นมาครองอำนาจ
หลังจากนั้น ก่อเกิดวิกฤตมากมายในสังคมไทย
จากการต่อสู้ของฝ่ายที่เชื่อมั่นในประชาธิปไตยกับฝ่ายที่ยืนอยู่ข้างอำนาจแบบเผด็จการ
ประชาชนบาดเจ็บ
ล้มตายมากมายทั้ง 2 ฝ่าย
ชะตากรรมมนุษย์มักประหลาดเหลือเชื่อเสมอมา
ผู้นำอำนาจเผด็จการก่อการปฏิวัติแทบไม่ได้รับมอบบารมีอันใดเลยจากกลุ่มผู้นิยมอำนาจเผด็จการ
เมื่อพ้นจากเก้าอี้ใหญ่ในกองทัพ
พล.อ.สนธิต้องหันเข้าแอบอิงฝ่ายประชาธิปไตยนำทุนรอนที่เหลืออยู่บ้างมาตั้งพรรคการเมือง
ด้วยเสียงเล่าลือว่า
เพื่อเกาะขอนไม้สุดท้ายแห่งอำนาจไว้ป้องกันตัวเองจากผลแห่งพฤติกรรมที่ผ่านมา
จากผลของการเมืองที่ทำลายล้างกันรุนแรงจนก่อให้เกิดความคั่งแค้นระอุในทุกฝ่ายที่ถูกกระทำ
แต่ดูเหมือนว่าแค่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีสมาชิกเป็น ส.ส.ไม่กี่คน
ไม่ได้ทำให้รู้สึกปลอดภัยจากการตอบโต้ล้างแค้น ที่สุดแล้วทางออกแห่งการรักษาตัวของ
พล.อ.สนธิเลือกเดินคืออาสาเป็นผู้ถือธงนำการปรองดองในนามประธานกรรมาธิการ
เพื่อศึกษาแนวทางการปรองดอง ที่อาจจะนำมาซึ่งการโละทิ้งความผิด
ซึ่งอาจจะหมายถึงพฤติกรรมของเขาด้วย
การเยียวยาอดีตของตัวเองให้ตัวอยู่ในปัจจุบันได้อย่างปลอดภัยสำหรับอดีตผู้นำปฏิวัติทำได้แค่นั้น
ทว่าเป็นแค่นั้นที่ต้องแลกกับเกียรติยศ เกียรติภูมิมหาศาล
เกียรติแห่งชีวิตที่สร้างมาตั้งแต่หนุ่มถึงวัยบั้นปลายถูกนำไปชดใช้จนแทบไม่เหลือหลอ
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
เพื่อพูดถึงแนวทางการปรองดองที่เขาเป็นประธานคณะกรรมาธิการผู้นำเสนอ
มีการอภิปรายโจมตีกันอย่างดุเดือดเข้มข้น
ขุดรื้ออดีตของแต่ละฝ่ายมาโจมตีกันชนิดไม่ยอมให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเหลือซากแห่งความดีงาม
ผู้ที่โดนหนักสุดกลับเป็น
พล.อ.สนธิ โดนจากทั้งสองฝ่าย โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ทั้งจากพรรคเพื่อไทย
ที่กล่าวหาว่า เป็นต้นเหตุของการเปิดทางให้อำนาจนอกระบบเข้ามายึดครองประเทศ
จนนำมาซึ่งการเข่นฆ่าประชาชน โดนทั้งจากพรรคประชาธิปัตย์
ที่มองว่าถูกซื้อตัวไปรับใช้นักการเมืองฝ่ายที่ต้องการนิรโทษกรรมตัวเอง
การชี้แจงของ
พล.อ.สนธิเป็นไปอย่างกล้อมแกล้มขอไปที สะท้อนถึงอาการหมดสภาพ
ไร้ซึ่งความยอมรับนับถือไม่ว่าจะเป็นจากฝ่ายใด หากว่านี่คือบทอวสานของปฏิบัติการ "ลับ ลวง พราง" น่าจะเป็นอวสานที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยจะบันทึกไว้
และให้บทสรุปได้ชัดเจนยิ่ง
ในชะตากรรมของผู้นำปฏิวัติในยุคสมัยที่ทั้งโลกมุ่งเดินหน้าไปในวิถีประชาธิปไตย
ใครที่เรียนรู้บทเรียนนี้ไปเตือนใจตัวเอง จะคือผู้ที่ยืนอยู่ได้
แต่ใครที่ยังหลงว่า ยังเผด็จการได้ในประเทศไทย
เขาน่าจะเป็นผู้เดินซ้ำในตำนานอันสะบักสะบอมของ พล.อ.สนธิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น